Grand Seiko รุกพื้นที่ใหม่ ด้วยคอลเลกชั่น Evolution 9
Vol.1
TOPการออกแบบของนาฬิกา Grand Seiko ซึ่งบรรจุเครื่องคาลิเบอร์ 9SA5 ที่พัฒนาขึ้นใหม่ใน ค.ศ.2020 นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่แก่นแท้ของนาฬิการุ่นนี้ก็ยังคงสืบทอดมรดกแห่ง Grand Seiko โดยสมบูรณ์ องค์ประกอบการออกแบบของนาฬิกา Grand Seiko ได้รับการจัดระเบียบในลักษณะของรหัสการออกแบบซึ่งก็ถูกผสานรวมอยู่ในรูปแบบ Evolution 9 Style (เอโวลูชัน ไนน์ สไตล์) ด้วยเช่นกัน แล้วจุดมุ่งหมายที่ Kiyotaka Sakai (คิโยทากะ ซากาอิ) ผู้สร้างสรรค์ดีไซน์รูปแบบใหม่พยายามจะแฝงไว้ในการออกแบบคืออะไร?
44GS ที่เปิดตัวสู่ตลาดในปี 1967 เป็นนาฬิกาที่ได้กำหนดปรัชญาการออกแบบของ Grand Seiko ขึ้นมาซึ่งอันที่จริงแล้ว องค์ประกอบการออกแบบที่รวมอยู่ใน 44GS นั้น ในเวลาต่อมาได้ถูกประมวลมาเป็นรูปแบบ Grand Seiko Style (แกรนด์ ไซโก สไตล์) ซึ่งเป็นลักษณะที่ให้คำจำกัดความที่ชัดเจนกับการออกแบบของ Grand Seiko โดยในบรรดาผู้ผลิตนาฬิกาที่มีอยู่มากมายในโลกนั้น Grand Seiko อาจเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ทำการรวบรวมรหัสการออกแบบของตนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
รหัสการออกแบบรูปแบบใหม่ที่ Grand Seiko นำมาใช้กับคอลเลกชั่น Evolution 9 เป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงของรูปแบบ Grand Seiko Style ธีมหลักของรหัสการออกแบบนี้ คือ อิสรภาพจากข้อจำกัดของเวลา โดยผู้ที่ได้รับการมอบหมายให้ออกแบบคอลเลกชั่นนี้ขึ้นมาก็คือ Kiyotaka Sakai
Sakai เล่าถึงวันที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคาลิเบอร์ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับ Grand Seiko ในเดือนพฤศจิกายน 2018 ให้ฟังว่า “ผมรู้สึกว่านาฬิการุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องระดับสุดยอดเช่นนั้นจะต้องได้รับการออกแบบที่สามารถรวบรวมแก่นแท้ขององค์ประกอบทั้งหมดไว้ในตัวได้” ดีไซน์ใดที่จะเหมาะสมกับนาฬิกาที่ใช้เครื่อง คาลิเบอร์ 9SA5 ซึ่งเป็นเครื่องอัตโนมัติคาลิเบอร์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพแสนโดดเด่น และจุดเริ่มต้นของ Sakai ก็คือ การตั้งคำถามว่า “ตั้งแต่เริ่มแรกนั้น Grand Seiko เป็นนาฬิกาประเภทใด?”
ผลลัพธ์ก็คือ งานออกแบบของเขาสำหรับรุ่น SLGH005 หรือที่รู้จักกันในนาม “White Birch” (ไวท์ เบิร์ช) ซึ่งรวมองค์ประกอบการออกแบบไว้ 9 ประการด้วยกัน นี่เป็นงานออกแบบที่สร้างขึ้นสำหรับ SLGH005 โดยเฉพาะ แต่งานออกแบบของ Sakai ได้รวมเอาองค์ประกอบทั้งหมดที่ Grand Seiko ต้องการสำหรับอนาคตเอาไว้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ 44GS มาแล้ว รูปทรงของ SLGH005 ได้ถูกกลั่นออกมาในรูปแบบของรหัสการออกแบบซึ่งต่อมาได้ถูกรวมเข้าเป็น Grand Seiko Evolution 9 Style ดีไซน์แบบใหม่นี้มีหลักการสำคัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่ วิวัฒนาการของความงดงามและความชัดเจนในการอ่านค่าอันเป็นสิ่งที่ Grand Seiko ใฝ่หามาตลอด ควบคู่ไปกับหลักการใหม่ นั่นก็คือ วิวัฒนาการของความสบายอันเลอเลิศในการสวมใส่
“บุคลิกลักษณะของ Grand Seiko คือ ความจริงจัง ความเรียบง่าย และความแข็งแกร่งในแง่ของการใช้งาน นอกจากนี้ เครื่องคาลิเบอร์ใหม่ 9SA5 ยังเป็นกลไกระดับปฏิวัติวงการอีกด้วย ดังนั้นผมจึงต้องการนำการตีความใหม่มาสู่ดีไซน์การออกแบบ” Kiyotaka Sakai ผู้ที่ครุ่นคิดถึงความหมายของ Grand Seiko อย่างหนักมาเป็นเวลายาวนาน ได้แรงบันดาลใจมาจาก Grand Seiko หลายรุ่นในอดีต
“รุ่นต่าง ๆ ในอดีต เช่น 61GS V.F.A. มีหลักชั่วโมงชิ้นบาง ๆ เพื่อแสดงถึงความแม่นยำระดับสูงของนาฬิกาในฐานะเรือนเวลาชั้นเลิศ ในรุ่นใหม่นี้ ผมต้องการแสดงถึงองค์ประกอบเช่นนั้นในการออกแบบตัวเรือน” เห็นได้ชัดจากส่วนขาตัวเรือนโดยแทนที่จะดัดส่วนปลายของขาทั้งสี่ซึ่งเป็นตำแหน่งยึดสายรัดข้อมือให้โค้งไปตามข้อมือ เขากลับปรับแต่งให้มีความเหยียดตรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ Sakai แปลงรูปแบบที่บางและยาวของหลักชั่วโมงอันเป็นสัญลักษณ์ของความแม่นยำระดับสูงให้เป็นแนวเส้นตรงของขาตัวเรือน และตัวขาตัวเรือนเองก็ตัดส่วนปลายให้สั้นลงอย่างจงใจอีกด้วย
“ขาตัวเรือนของ Grand Seiko นั้น เดิมทีจะถูกยืดออกไปจนสุดปลายโดยมุ่งเน้นไปที่ความกลมกลืนในการสวมใส่และรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจของตัวเรือน ในการออกแบบเบื้องต้นของ Evolution 9 เรายังได้พิจารณาถึงการดัดโค้งขาตัวเรือนลงสู่ด้านล่างด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ตัดใจตัดส่วนปลายออกอย่างคมชัด” ขาตัวเรือนที่เฉียบคมทำให้เห็นถึงปรัชญาของรูปสลักซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะที่มีอิทธิพลต่อ Sakai
“วัสดุต่าง ๆ ที่มีน้ำหนักมากมักถูกใช้ในการสร้างรูปสลัก แต่งานที่ทำเสร็จแล้วจะต้องดูเบา และควรใช้รูปร่างที่ให้ความรู้สึกตึงแน่นมากกว่ารูปร่างที่ดูอ่อนและไม่กระชับ สำหรับรุ่นใหม่นี้ ผมต้องการสร้างตัวเรือนที่ให้ความรู้สึกมั่นคงแต่ดูมีน้ำหนักเบา” แต่ความรู้สึกเบาไม่ใช่สิ่งเดียวที่ Sakai ใช้ เพราะเขายังออกแบบลักษณะการตกแต่งให้เข้ากับยุคใหม่ด้วย
“ในดีไซน์ของ Evolution 9 ผมใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องแสงและเงา รุ่นก่อน ๆ ของ Grand Seiko มีการตกแต่งดุจกระจกเงาบนพื้นผิวกว้างเพื่อเน้นถึงความหรูหรา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นดีไซน์และการตกแต่งที่จะเข้ากันได้ดีเมื่อสวมใส่กับชุดสูทในฉากการทำธุรกิจที่เป็นทางการ ในทางกลับกันสำหรับ Evolution 9 นั้นผมคิดว่าเหมาะกับฉากการทำธุรกิจที่มีความร่วมสมัยมากกว่า และผมต้องการสร้างนาฬิกาที่จะดูดีเมื่อสวมใส่กับเครื่องแต่งกายที่ดูกระฉับกระเฉงได้เท่าการสวมใส่กับชุดสูท”
ด้วยเหตุนี้ Sakai จึงลดการใช้ผิวตกแต่งดุจกระจกเงาซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในคุณลักษณะเฉพาะตัวของ Grand Seiko ดังที่เห็นได้ใน 44GS และแทนที่ด้วยการเพิ่มการตกแต่งแนวเส้นละเอียดแบบ แฮร์ไลน์ จุดมุ่งหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่แนวเส้นแบบ แฮร์ไลน์ แต่เพื่อเน้นความคมชัดระหว่างแสงและเงา “ในการลดพื้นที่การตกแต่งแบบผิวกระจกเงาและเพิ่มพื้นที่ให้กับการตกแต่งแนวเส้นแบบ แฮร์ไลน์ นั้น เป้าหมายของผมก็คือ การทำให้ผิวตกแต่งแบบกระจกเงาของตัวเรือนมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น การมีผิวตกแต่งแบบกระจกเงาที่น้อยกว่าเช่นนี้เน้นให้เห็นได้ชัดเจนกว่า คุณคิดอย่างนั้นไหม?” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความสมดุลที่คมชัดซึ่งเป็นคุณลักษณหนึ่งของ Grand Seiko รุ่นล่าสุดนี้ถูกเน้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ในตอนแรก ผมคิดว่าจะทำพื้นผิวด้านบนของวงขอบตัวเรือนให้เป็นแบบกระจกเงาด้วย แต่เนื่องจากพื้นผิวแบบกระจกเงาจะเก็บแสงและดูกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ผมจึงตัดสินใจเลือกการตกแต่งแนวเส้นแบบ แฮร์ไลน์ โดยออกแบบรูปทรงของแนวเส้นให้นาฬิกาดูน่าประทับใจยิ่งขึ้น ผมตั้งใจทำให้แนวเส้นมีความลึกมากขึ้นเพราะแนวร่องที่ตื้นจะทำให้นาฬิกาทั้งเรือนปรากฎเป็นสีขาวขุ่น” นอกจากนี้ ด้วยการตัดส่วนปลายของขาตัวเรือน นอกจากเขาจะรักษาความรู้สึกที่เป็น 3 มิติเอาไว้ได้อย่างชาญฉลาดแล้ว ลักษณะความเป็น 3 มิติของ Grand Seiko รุ่นล่าสุดเหล่านี้ยังดูเด่นชัดยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับ Evolution 9 Style แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้อีกสิ่งหนึ่งก็คือ การทำให้อ่านค่าได้ง่ายซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักของ Grand Seiko สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตามาสู่นาฬิการุ่นนี้ก็คือ ความสมดุลอย่างชัดเจนของหลักชั่วโมงและเข็มชั่วโมงกับเข็มนาที
“ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่ใช้เครื่องคาลิเบอร์ระดับสูงของ Grand Seiko” Sakai กล่าวถึงแผนของเขาในการทำให้หลักชั่วโมงตำแหน่ง 12 นาฬิกามีขนาดกว้างกว่าดีไซน์แบบเดิม “การทำให้หลักชั่วโมงกว้างขึ้นมาจากการที่ผมต้องการทำให้มันมีความโดดเด่นสะดุดตาและรู้ได้ในทันทีที่ได้เห็นว่านี่คือ Grand Seiko รุ่นใหม่ ผมต้องการเน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นไอคอนชิ้นใหม่เท่านั้น แต่ยังเปี่ยมไปด้วยแก่นแท้ของ Grand Seiko นั่นก็คือ ฟังก์ชั่นในการใช้งาน”
ความชัดเจนสูงในการอ่านค่าของนาฬิกาถูกเน้นด้วยหลักชั่วโมงขนาดใหญ่และขนาดความกว้างที่ต่างกันของเข็มชั่วโมงกับเข็มนาที “ในระหว่างการลงลึกเข้าไปในฟังก์ชั่นการใช้งานต่าง ๆ ที่ Grand Seiko ต้องการนั้น ผมเกิดความคิดว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความชัดเจนที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ซึ่งก็ทำให้ผมตระหนักรู้ว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจะปรับความกว้างของเข็มชั่วโมงและเข็มนาที ในดีไซน์ของแบบแรกนั้น ทั้งเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีมีส่วนปลายที่แหลม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด ดังนั้นผมจึงตัดสินใจตัดส่วนปลายของเข็มชั่วโมงเพื่อให้รับกับส่วนปลายของหลักชั่วโมง” เข็มชั่วโมงที่กว้างขึ้นช่วยให้ดูเวลาคร่าว ๆ ได้ในทันที และด้วยเข็มนาทีที่บางเฉียบ การมองในระดับที่ใกล้ขึ้นจะช่วยให้อ่านค่าเวลาได้แม่นยำยิ่งขึ้น นี่เป็นความคิดที่ลึกซึ้งในการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งาน
นอกจากนี้ เข็มและหน้าปัดยังมีระดับที่ชิดกันมากขึ้นอีกด้วย ก่อนหน้านี้นาฬิกา Grand Seiko มีช่องว่างระหว่างเข็มและหน้าปัดอยู่มาก แต่ระยะห่างนั้นถูกทำให้ลดลงใน Evolution 9 อีกทั้งเพื่อให้อ่านค่าบนนาฬิกาจากแนวทแยงได้ง่ายขึ้น เข็มนาทีและเข็มวินาทีจึงถูกดัดโค้งเข้าหาหน้าปัดอย่างเห็นได้ชัด และ “ส่วนแนววงแหวน” ที่ลาดลงจากเส้นรอบวงของหน้าปัดสู่ด้านในซึ่งมีสเกลนาทีพิมพ์อยู่บนแนวลาดนั้นถูกติดตั้งเข้ามาเพื่อให้เข็มเข้าใกล้กับหลักสเกลมากที่สุด
ความงดงามและความชัดเจนในการอ่านค่า คือ องค์ประกอบที่นาฬิกา Grand Seiko รุ่นก่อน ๆ ใฝ่หา สิ่งใหม่ของ Evolution 9 Style อยู่ที่การเพิ่มหลักการของความสบายในการสวมใส่เข้ามา
“44GS ซึ่งเป็นรุ่นที่ก่อให้เกิดรูปแบบ Grand Seiko Style ขึ้นมาในปี 1967 บรรจุเครื่องไขลานที่มีขนาดบาง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องความสบายต่อการสวมใส่ในกระบวนการออกแบบ อย่างไรก็ตาม เมื่อกลายมาเป็นเครื่องอัตโนมัติและต้องมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ตัวเครื่องก็จะหนาขึ้น นี่คือเหตุผลที่เราต้องคิดถึงเรื่องความสบายในการสวมใส่”
แง่มุมแรกที่ Sakai พูดถึงก็คือ จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ เช่นเดียวกับรถยนต์ ยิ่งจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ตัวนาฬิกาก็ยิ่งสั่นน้อยลง การวางตำแหน่งเครื่องให้ใกล้กับฝาหลังมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จะทำให้น้ำหนักของชิ้นส่วนหลักของ Evolution 9 อยู่ใกล้กับแขนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในนาฬิกา Grand Seiko รุ่นก่อน ๆ ซึ่งย้อนกลับไปได้ถึง 44GS นั้น ดีไซน์ทางด้านข้างของตัวเรือนจะแคบลงไปสู่ฝาหลัง แต่ครั้งนี้ นักออกแบบตั้งใจให้มีความหนาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย “การไม่ตัดเฉือนออกจากแนวขอบฝาหลังมากเกินไปจะทำให้จุดศูนย์ถ่วงอยู่ในระดับต่ำ” Sakai อธิบาย กระจกรูปทรง 3 มิติก็เป็นอีกความพยายามที่จะลดจุดศูนย์ถ่วงลงด้วยเช่นกัน แม้ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจริงจะมีเพียงเล็กน้อย แต่การใช้กระจกแซพไฟร์คริสตัลทรงกล่องหรือกระจกแซพไฟร์คริสตัลแบบแนวโค้งทั้ง 2 ฝั่งกระจกจะเก็บซ่อนความสูงของวงขอบตัวเรือนได้เป็นอย่างดีและทำให้ตัวเรือนโดยรวมดูบางลงอีกด้วย
“ถ้าเรานำกระจก 3 มิติรูปทรงกล่องมาใช้ จะทำให้นาฬิกามีรูปลักษณ์แบบย้อนยุค ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการในดีไซน์สำหรับ Evolution 9 และ Grand Seiko ก็ใช้กระจกแซพไฟร์คริสตัลรูปทรงกล่องมามากกว่า 20 ปีแล้ว ดังนั้นเราจึงรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่ดูสะอาดตาขึ้น”
สายข้อมือยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อครอบคลุมความใหม่ในทุกองค์ประกอบ ในรุ่นก่อนหน้านี้ ความกว้างของสายอยู่ที่ 20 มิลลิเมตร สำหรับตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร แต่สำหรับ Evolution 9 นั้น ความกว้างของสายได้ถูกเพิ่มขึ้นเป็น 22 มิลลิเมตร การขยายขนาดสายให้กว้างขึ้นจะช่วยกระจายน้ำหนักของนาฬิกา และเพิ่มความสบายในการสวมใส่
“นอกจากการขยายความกว้างของสายแล้ว เรายังเปลี่ยนตำแหน่งการยึดด้วย ข้อสายแต่ละชิ้นถูกทำให้สั้นลง 1 มิลลิเมตรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ๆ เพื่อให้สวมใส่ได้กระชับยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังเพิ่มความหนาเพื่อให้ดูเหมือนว่าขาตัวเรือนและสายถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน” สายที่หนาขึ้นช่วยให้ความสมดุลระหว่างน้ำหนักของตัวนาฬิกาและสายดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่ต้นด้วยรหัสการออกแบบใหม่ แต่ Sakai ก็ยังคงรักษาความรู้สึกแบบ Grand Seiko ไว้ในสายของนาฬิกาได้เป็นอย่างดี “เรามอบการตกแต่งแนวเส้นละเอียดแบบ แฮร์ไลน์ ให้กับสายข้อมือ ในขณะที่ยังคงรักษาข้อสายที่ถูกตกแต่งผิวแบบกระจกเงาอย่างที่เคยใช้กับสายข้อมือรุ่นก่อน ๆ เอาไว้ ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อสืบทอดดีไซน์การออกแบบของ Grand Seiko ในอดีตให้ดำเนินต่อไป”
ดีไซน์ของรุ่นสปอร์ตจากคอลเลกชั่น Evolution 9 ได้ขยายดีไซน์แบบ Evolution 9 ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ขณะที่ทำการสืบทอดปรัชญาของความงดงาม ความชัดเจนในการอ่านค่า และความสบายในการสวมใส่นั้น ก็ยังมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัวด้วยดีไซน์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์การใช้งานที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ Sakai อธิบายว่า “ตราบใดที่แก่นแท้ของรูปแบบ Evolution 9 Style ยังแข็งแกร่ง ก็เป็นไปได้ที่จะนำพาไปสู่รุ่นที่ใช้เครื่องต่างกันและรุ่นสปอร์ต ผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเราจะไม่สามารถใช้วิถีการออกแบบ Evolution 9 Style อย่างรูปแบบของหลักชั่วโมงกับเข็มและการลดจุดศูนย์ถ่วงของนาฬิกาในนาฬิกาแบบสปอร์ตได้” ดีไซน์นี้จึงถูกเติมเต็มด้วยวิสัยทัศน์ทางด้านกีฬาของชาวญี่ปุ่น
“กีฬาในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เป็นการแข่งขันกับผู้อื่น แต่เป็นการยกระดับจิตวิญญาณ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผมเชื่อว่า หากจิตใจที่แน่วแน่สามารถแสดงออกมาเป็นรูปร่างได้ นั่นจะเป็นนาฬิกาสปอร์ตของชาวญี่ปุ่น”
ด้วยการคำนึงว่าจะต้องบรรจุเครื่องที่มีความหนามากกว่า ทำให้ตัดสินใจเน้นความเป็น 3 มิติในการออกแบบ และด้วยการใช้กระจกแซพไฟร์คริสตัลรูปทรงกล่องหรือกระจกแซพไฟร์คริสตัลที่มีผิวโค้งทั้ง 2 ฝั่ง จึงสามารถรักษาจุดศูนย์ถ่วงของตัวนาฬิกาให้อยู่ในระดับต่ำได้ และยังขจัดรูปทรงกล่องของตัวเรือนที่มักพบในนาฬิกาสปอร์ตจำนวนมากในยุคปัจจุบันได้ด้วย
“เป้าหมายของเราคือ รูปทรงที่เหมาะสมที่สุดในขณะที่ผู้สวมใส่กำลังเคลื่อนไหวโดยนาฬิกาจะปรากฏขึ้นทันทีเมื่อคุณขยับแขน ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงทำให้แน่ใจว่านาฬิกาจะไม่ติดกับแขนเสื้อ”
ด้วยการมีพื้นฐานมาจากรุ่น 44GS ที่ปรากฎตัวในปี 1967 รูปแบบ Grand Seiko Style ก็ได้ถูกกำหนดไว้ในปรัชญาการออกแบบของ Grand Seiko ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งศตวรรษ ในปี 2022 การกระทำที่ประหนึ่งการเสริมแต่งรูปแบบ Grand Seiko Style ก็เกิดขึ้น ขณะนี้เรามี Grand Seiko Evolution 9 Style ซึ่งเป็นการประมวลดีไซน์ครั้งใหม่และเป็นรหัสการออกแบบที่สามารถอธิบายได้อย่างแท้จริงว่าเป็นแนวทางที่ชี้นำเราไปสู่อนาคตของ Grand Seiko
ในเรื่องที่ 2 เราจะมาพิจารณาถึงรุ่นสปอร์ตอันเป็นสไตล์ที่เฉียบคมที่สุดในคอลเลกชั่น Evolution 9
โปรดติดตามต่อไป......……